ส่วนที่ 1: พื้นฐานการตัดต่อ (ข้อ 1-10)
- ข้อใดคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นตัดต่อวิดีโอ
- ก. การเลือกเพลงประกอบที่เหมาะสม
- ข. การเขียนสคริปต์ (Script)
- ค. การนำเข้าไฟล์วิดีโอ (Importing)
- ง. การปรับสีและแสงของคลิป
- ในโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ คำว่า “Timeline” หมายถึงอะไร
- ก. แถบแสดงสถานะการเรนเดอร์ (Rendering)
- ข. พื้นที่สำหรับจัดเรียงและตัดต่อคลิป
- ค. หน้าต่างแสดงผลวิดีโอแบบเรียลไทม์
- ง. กล่องเก็บไฟล์ที่นำเข้า
- การใช้เทคนิค “J-Cut” และ “L-Cut” มีวัตถุประสงค์หลักเพื่ออะไร
- ก. เพื่อเปลี่ยนอัตราส่วนภาพ (Aspect Ratio)
- ข. เพื่อเพิ่มความสวยงามให้กับการเปลี่ยนฉาก (Transitions)
- ค. เพื่อสร้างความลื่นไหลในการเชื่อมต่อเสียงและภาพ
- ง. เพื่อย่อขนาดไฟล์วิดีโอให้เล็กลง
- “อัตราส่วนภาพ” (Aspect Ratio) ที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับวิดีโอแนวนอนคือข้อใด
- ก. 9:16
- ข. 4:3
- ค. 16:9
- ง. 1:1
- หากต้องการลบส่วนที่ไม่ต้องการของคลิปออก ควรใช้เครื่องมือใดในโปรแกรมตัดต่อ
- ก. Zoom Tool
- ข. Razor Tool (เครื่องมือใบมีด)
- ค. Hand Tool
- ง. Pen Tool
- “Frame Rate” หมายถึงอะไรในการตัดต่อวิดีโอ
- ก. จำนวนเฟรมต่อวินาที
- ข. ความเร็วในการเรนเดอร์วิดีโอ
- ค. ขนาดของเฟรมภาพ
- ง. อัตราส่วนของภาพ
- “Codec” คืออะไรในบริบทของไฟล์วิดีโอ
- ก. โปรแกรมตัดต่อวิดีโอชนิดหนึ่ง
- ข. โค้ดที่ใช้สำหรับบีบอัดและคลายข้อมูลวิดีโอ
- ค. ชื่อเรียกของไฟล์วิดีโอที่ใช้ร่วมกับเสียง
- ง. ไฟล์ที่เก็บข้อมูลการตั้งค่าโปรเจกต์
- เครื่องมือที่ใช้สำหรับปรับระดับเสียงของคลิปใน Timeline เรียกว่าอะไร
- ก. Keyframe
- ข. Ripple Edit Tool
- ค. Pen Tool
- ง. Audio Mixer
- หากต้องการแก้ไขสีและแสงของคลิปวิดีโอ ควรใช้เครื่องมือใด
- ก. Color Grading หรือ Color Correction
- ข. Time Remapping
- ค. Stabilizer
- ง. Chroma Key
- การเรนเดอร์ (Rendering) วิดีโอคือขั้นตอนใด
- ก. การนำเข้าไฟล์วิดีโอ
- ข. การบันทึกงานระหว่างการตัดต่อ
- ค. การประมวลผลวิดีโอเพื่อส่งออกเป็นไฟล์สุดท้าย
- ง. การซิงค์เสียงกับภาพวิดีโอ
ส่วนที่ 2: โปรแกรมและเครื่องมือ (ข้อ 11-20)
- โปรแกรมใดที่นิยมใช้ในการตัดต่อวิดีโอระดับมืออาชีพ และเป็นมาตรฐานในวงการ
- ก. Microsoft Photos
- ข. Adobe Premiere Pro
- ค. Canva
- ง. CapCut
- “Keyframes” ในการตัดต่อวิดีโอมีหน้าที่อะไร
- ก. ใช้สำหรับใส่ตัวอักษร
- ข. ใช้ในการกำหนดจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของเอฟเฟกต์
- ค. ใช้สำหรับลบคลิปที่ไม่ต้องการ
- ง. ใช้สำหรับปรับความเร็วของวิดีโอให้เป็น Slow Motion เท่านั้น
- หากต้องการตัดต่อวิดีโอที่ถ่ายด้วยกล้องหลายตัวพร้อมกันในเหตุการณ์เดียว ควรใช้เครื่องมือใด
- ก. Stabilizer
- ข. Multi-Camera Editing
- ค. Time Remapping
- ง. Chroma Key
- การใส่เอฟเฟกต์ “Green Screen” หรือ “Blue Screen” ใช้เทคนิคใดในโปรแกรมตัดต่อ
- ก. Motion Tracking
- ข. Speed Ramping
- ค. Chroma Key
- ง. Nested Sequence
- ในโปรแกรม Premiere Pro “Project Panel” มีหน้าที่อะไร
- ก. แสดงผลวิดีโอที่กำลังตัดต่อ
- ข. จัดเก็บไฟล์ที่นำเข้ามาทั้งหมด
- ค. เป็นพื้นที่สำหรับจัดการ Transition
- ง. แสดงประวัติการทำงานย้อนหลัง
- ข้อใดคือความแตกต่างหลักระหว่าง Transition และ Effect
- ก. Transition ใช้เปลี่ยนฉาก ส่วน Effect ใช้ปรับแต่งภาพในฉาก
- ข. Transition เป็นเอฟเฟกต์เฉพาะเสียง ส่วน Effect เป็นเอฟเฟกต์เฉพาะภาพ
- ค. Transition ใช้ได้แค่กับวิดีโอเท่านั้น ส่วน Effect ใช้ได้ทั้งภาพและวิดีโอ
- ง. Transition ต้องซื้อเพิ่ม ส่วน Effect มีมาให้ในโปรแกรม
- การตัดต่อวิดีโอแบบ “Short-form content” เช่น TikTok หรือ Instagram Reels นิยมใช้โปรแกรมใดมากที่สุด
- ก. Adobe After Effects
- ข. CapCut
- ค. DaVinci Resolve
- ง. Blender
- หากต้องการสร้างกราฟิกเคลื่อนไหว (Motion Graphics) หรือ Visual Effects ที่ซับซ้อน ควรใช้โปรแกรมใดเป็นหลัก
- ก. Adobe Premiere Pro
- ข. Final Cut Pro
- ค. Adobe After Effects
- ง. iMovie
- ในโปรแกรมตัดต่อ “Proxy” มีประโยชน์อย่างไร
- ก. ช่วยในการทำความสะอาดไฟล์ขยะ
- ข. เป็นไฟล์วิดีโอขนาดเล็กที่ใช้สำหรับตัดต่อแทนไฟล์ต้นฉบับ
- ค. เป็นเครื่องมือสำหรับซ่อมแซมคลิปที่เสียหาย
- ง. เป็นฟังก์ชันที่ช่วยสร้างวิดีโอฉบับร่างอย่างรวดเร็ว
- “Audio Ducking” ในโปรแกรมตัดต่อเสียงมีหน้าที่อะไร
- ก. ทำให้เสียงเบาลงอย่างรวดเร็ว
- ข. ปรับเสียงเพลงให้เบาลงอัตโนมัติเมื่อมีเสียงพูด
- ค. เพิ่มเสียงเบสให้เพลง
- ง. ลบเสียงรบกวนออกจากวิดีโอ
ส่วนที่ 3: เทคนิคและศัพท์เฉพาะ (ข้อ 21-30)
- การสร้าง “Slow Motion” ที่ลื่นไหลและดูเป็นธรรมชาติ ควรใช้ Footage ที่มี Frame Rate เท่าใด
- ก. 24 fps
- ข. 30 fps
- ค. 60 fps ขึ้นไป
- ง. 15 fps
- “B-Roll” หมายถึงอะไรในการตัดต่อวิดีโอ
- ก. ฟุตเทจหลักของเรื่องราว
- ข. ฟุตเทจเสริมที่ใช้เล่าเรื่องเพิ่มเติม
- ค. คลิปวิดีโอที่ใช้สำหรับตอนจบ
- ง. คลิปวิดีโอที่มีคุณภาพต่ำ
- “Jump Cut” เป็นเทคนิคการตัดต่อที่ใช้เพื่ออะไร
- ก. เพื่อเปลี่ยนฉากให้ดูสวยงาม
- ข. เพื่อทำให้เวลาในวิดีโอสั้นลงอย่างรวดเร็ว
- ค. เพื่อซ่อนรอยต่อของภาพ
- ง. เพื่อทำให้ภาพดูนิ่งขึ้น
- การแก้ไขวิดีโอที่สั่นไหวให้ดูนิ่งขึ้น ควรใช้เครื่องมือใด
- ก. Time Remapping
- ข. Stabilizer หรือ Warp Stabilizer
- ค. Multi-Camera Editing
- ง. Chroma Key
- “Resolution” 4K หรือ Ultra HD หมายถึงอะไร
- ก. ขนาดภาพ 1080p
- ข. ขนาดภาพที่มีความละเอียดประมาณ 4,000 พิกเซลในแนวนอน
- ค. ขนาดภาพที่มีความละเอียด 400 พิกเซล
- ง. ความคมชัดของภาพที่ลดลง
- หากต้องการจัดลำดับวิดีโอและเสียงให้สอดคล้องกันพอดี ควรใช้เทคนิคใด
- ก. Speed Ramping
- ข. Syncing Audio and Video
- ค. Nesting
- ง. Proxy
- “Time Remapping” หรือ “Speed Ramping” มีหน้าที่อะไร
- ก. การย้อนกลับวิดีโอ
- ข. การปรับความเร็วของวิดีโอในแต่ละช่วงเวลา
- ค. การเรนเดอร์วิดีโอให้เร็วขึ้น
- ง. การย่อขนาดไฟล์วิดีโอ
- การจัดระเบียบไฟล์โดยการสร้าง “Bin” หรือ “Folder” ในโปรแกรมตัดต่อมีประโยชน์อย่างไร
- ก. ทำให้โปรแกรมทำงานได้เร็วขึ้น
- ข. ป้องกันไฟล์เสียหาย
- ค. ช่วยให้ค้นหาและจัดการไฟล์ได้ง่าย
- ง. ทำให้ไฟล์มีขนาดเล็กลง
- “Exporting” หรือการส่งออกไฟล์วิดีโอ มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งใด
- ก. การบันทึกโปรเจกต์
- ข. การนำเข้าไฟล์ใหม่
- ค. การเลือก Codec และ Resolution สำหรับไฟล์สุดท้าย
- ง. การสร้างข้อสอบออนไลน์
- สิ่งที่สำคัญที่สุดในการตัดต่อวิดีโอคืออะไร
- ก. การใช้โปรแกรมที่แพงที่สุด
- ข. การใส่เอฟเฟกต์ให้เยอะที่สุด
- ค. การใช้เทคนิคขั้นสูงทั้งหมด
- ง. การเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ