รีวิว Clipchamp คืออะไร? โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรี คู่ใจครูยุคใหม่ ใช้งานง่ายในเว็บ ไม่ต้องโหลด!

สวัสดีครับคุณครูและเพื่อนๆ ชาว krukengblog.com ทุกท่าน! ในยุคที่ใครๆ ก็สร้างวิดีโอได้ การมีเครื่องมือดีๆ ที่ใช้ง่ายและเข้าถึงสะดวกเป็นเรื่องสำคัญมากเลยใช่ไหมครับ โดยเฉพาะคุณครูที่ต้องทำสื่อการสอน หรือน้องๆ นักเรียนที่อยากทำวิดีโอพรีเซนต์งานเจ๋งๆ วันนี้ “ครูเก่ง” (ผู้เขียน) ขออาสามารีวิว Clipchamp แบบเจาะลึก โปรแกรมตัดต่อวิดีโอสุดฮิตจากค่ายใหญ่อย่าง Microsoft ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อ หรืออาจจะมีติดเครื่องมากับ Windows 11 แล้วด้วยซ้ำ

บทความนี้จะพาไปดูกันว่า Clipchamp คืออะไร? มัน ใช้งานง่าย จริงไหม? ฟีเจอร์เด่นๆ มีอะไรบ้าง? ที่สำคัญคือ มันเป็น โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรี ที่ดีพอให้เราใช้งานจริงจังได้หรือเปล่า? ครูเก่งจะเล่าจากประสบการณ์ที่ลองใช้จริง (Experience & Expertise) เพื่อให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (Authoritativeness & Trustworthiness) ช่วยให้คุณครูตัดสินใจได้ง่ายขึ้นครับว่า Clipchamp จะมาเป็นผู้ช่วยมือขวาในการสร้างสรรค์วิดีโอได้หรือไม่ ตามมาดูกันเลย!

Clipchamp คืออะไร? ทำความรู้จักกันก่อน

Clipchamp พูดง่ายๆ ก็คือ โปรแกรมตัดต่อวิดีโอออนไลน์ ที่ Microsoft เข้าซื้อกิจการมาเมื่อปี 2021 ครับ จุดเด่นที่ทำให้มันแตกต่างและน่าสนใจมากๆ คือ เราสามารถใช้งานมันได้โดยตรงผ่านเว็บเบราว์เซอร์ (เช่น Google Chrome หรือ Microsoft Edge) โดย ไม่ต้องดาวน์โหลดหรือติดตั้งโปรแกรมใดๆ ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เลย! สะดวกมากๆ โดยเฉพาะเวลาใช้คอมพิวเตอร์ของโรงเรียน หรือคอมฯ ที่สเปกไม่แรงมากนัก

เหมือนเรามีสตูดิโอตัดต่อวิดีโอขนาดย่อมส่วนตัวอยู่บนเว็บเลยครับ แค่ล็อกอินด้วยบัญชี Microsoft (หรืออีเมลอื่นก็ได้) ก็สามารถเริ่มสร้างสรรค์ผลงานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อคลิปง่ายๆ ใส่เพลง ใส่ข้อความ ใส่เอฟเฟกต์ หรือจะใช้ฟีเจอร์ล้ำๆ อย่างการ อัดหน้าจอ หรือสร้าง เสียงพูด AI (Text-to-Speech) ก็ทำได้ในที่เดียว

ลองเข้าไปดูหน้าตาและสมัครใช้งานได้ฟรีที่เว็บไซต์ทางการ: https://clipchamp.com/th/

ทำไม Clipchamp ถึงน่าสนใจ? โดยเฉพาะสำหรับคุณครูและมือใหม่

จากที่ครูเก่งได้ลองใช้งานมาสักพักใหญ่ๆ พบว่ามีหลายเหตุผลที่ทำให้ Clipchamp โดดเด่นและน่าใช้มากๆ ครับ:

ใช้งานง่ายสุดๆ เหมือนจับมือทำ: ข้อนี้สำคัญมากครับ! ต่อให้คุณครูหรือน้องๆ ไม่เคยแตะโปรแกรมตัดต่อวิดีโอมาก่อนเลย ก็สามารถเรียนรู้และใช้งาน Clipchamp ได้ในเวลาไม่นาน หน้าตาโปรแกรม (Interface) เขาออกแบบมาให้ดูสบายตา ไม่ซับซ้อน ใช้หลักการลากแล้ววาง (Drag-and-Drop) ง่ายๆ มีเมนูภาษาไทย ทำให้เริ่มต้นได้ไม่ยากเลยจริงๆ ครับ

สะดวกสบาย ไม่ต้องติดตั้ง: อย่างที่บอกไปว่ามันทำงานบนเว็บ แค่มีอินเทอร์เน็ตกับเว็บเบราว์เซอร์ก็ใช้ได้แล้ว หมดปัญหาเรื่องหน่วยความจำเต็ม หรือโปรแกรมไม่รองรับกับเครื่องไปได้เลย เหมาะมากกับสถานการณ์ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์หลายเครื่อง หรือเครื่องที่ไม่สามารถลงโปรแกรมเพิ่มเติมได้

เชื่อมต่อกับระบบ Microsoft ได้เนียนๆ: ใครที่ใช้ Microsoft 365 (พวก Word, PowerPoint) หรือเก็บไฟล์งานบน OneDrive อยู่แล้ว จะยิ่งสะดวกครับ เพราะ Clipchamp เชื่อมต่อกับบริการเหล่านี้ได้เลย ทำให้การดึงไฟล์รูปภาพ วิดีโอ หรืองานนำเสนอมาใช้ตัดต่อ หรือการบันทึกวิดีโอที่เสร็จแล้วกลับไปเก็บใน OneDrive ทำได้ง่ายและรวดเร็ว

ส่องฟีเจอร์เด็ดที่ทำให้ Clipchamp ไม่ธรรมดา

แม้จะใช้งานง่าย แต่ Clipchamp ก็มีเครื่องมือและฟีเจอร์ที่ทรงพลังซ่อนอยู่เยอะพอสมควรเลยครับ มาดูตัวเด่นๆ ที่ครูเก่งคิดว่ามีประโยชน์มากๆ กัน:

1. ตัดต่อพื้นฐานแบบลาก-วาง (Intuitive Editing)

หัวใจหลักของการตัดต่อก็คือการ ตัด-แปะ-ต่อ คลิปใช่ไหมครับ Clipchamp ทำเรื่องนี้ได้ง่ายมาก แค่ลากไฟล์วิดีโอ ไฟล์เสียง หรือรูปภาพที่ต้องการจากคลังสื่อ (Your Media) ลงมาวางบนไทม์ไลน์ (Timeline) ด้านล่าง จากนั้นก็ใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น กรรไกร (Split) เพื่อตัดแบ่งคลิป, การลากเพื่อยืดหดความยาว, การใส่ข้อความ (Text), การใส่ Übergänge (Transitions) เชื่อมระหว่างคลิป หรือใส่ฟิลเตอร์สี (Filters) ก็ทำได้ไม่ยากเลยครับ

2. Text-to-Speech (AI สร้างเสียงบรรยายจากข้อความ)

ฟีเจอร์นี้ว้าวมาก! ถ้าคุณครูอยากทำวิดีโอสอนแต่ไม่สะดวกอัดเสียงตัวเอง หรืออยากได้เสียงบรรยายที่ชัดเจนสม่ำเสมอ Clipchamp Text-to-Speech ช่วยได้ครับ แค่พิมพ์ข้อความที่ต้องการลงไป เลือกภาษา (รองรับภาษาไทยด้วยนะ!) เลือกเสียง AI (มีทั้งชายหญิง) แล้วโปรแกรมจะสร้างไฟล์เสียงพูดให้เราเอาไปใส่ในวิดีโอได้เลย สะดวกมากๆ แม้ว่าเสียง AI ภาษาไทยอาจจะยังมีให้เลือกไม่เยอะเท่าภาษาอังกฤษ และความธรรมชาติอาจจะยังไม่เท่าเสียงคนจริงๆ 100% แต่ก็ถือว่าใช้งานได้ดีมากสำหรับการทำสื่อการสอน หรือคลิปที่ไม่เน้นความเป็นธรรมชาติของเสียงมากนักครับ

3. อัดหน้าจอและกล้องในตัว (Screen & Camera Recorder)

อยากทำคลิปสอนใช้โปรแกรม? สาธิตการเข้าเว็บไซต์? หรืออัดวิดีโอตัวเองพร้อมสไลด์? Clipchamp มีฟังก์ชัน Clipchamp อัดหน้าจอ และกล้องเว็บแคมมาให้ในตัวเลยครับ ไม่ต้องไปหาโปรแกรมเสริมให้วุ่นวาย เลือกได้ว่าจะอัดเฉพาะหน้าจอ, อัดเฉพาะกล้อง, หรืออัดทั้งสองอย่างพร้อมกัน (เป็นหน้าจอหลักกับภาพเราเล็กๆ มุมจอ) อัดเสร็จไฟล์ก็เข้ามาอยู่ในโปรเจกต์พร้อมตัดต่อทันที สะดวกสุดๆ สำหรับการสร้าง วิดีโอสอนออนไลน์ เลยครับ

4. เทมเพลตวิดีโอสำเร็จรูป (Templates)

คิดไม่ออกว่าจะเริ่มยังไง? อยากได้วิดีโอสวยๆ แบบเร่งด่วน? เทมเพลต Clipchamp ช่วยได้เยอะมากครับ เขามีแบบวิดีโอสำเร็จรูปที่ออกแบบมาอย่างดีให้เลือกใช้เพียบ แบ่งเป็นหมวดหมู่ชัดเจน เช่น เทมเพลตสำหรับ YouTube, TikTok, Instagram, สไลด์โชว์, การศึกษา, บทนำ/บทส่งท้าย (Intro/Outro) แค่เลือกแบบที่ชอบ แล้วเปลี่ยนรูปภาพ วิดีโอ และข้อความเป็นของเราเอง ก็ได้วิดีโอสวยๆ ในเวลาไม่กี่นาที ประหยัดเวลาออกแบบไปได้เยอะเลยครับ

Clipchamp ใช้งานฟรีได้จริงไหม? หรือต้องเสียเงิน?

คำถามยอดฮิตเลยครับ! คำตอบคือ Clipchamp มีแผนให้ใช้งานได้ฟรีจริงๆ ครับ! ซึ่งในแผนฟรี (Free Plan) นี้ ครูเก่งขอยืนยันว่าให้ฟีเจอร์มาเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปและ การสร้างสื่อการสอน เลยทีเดียว สิ่งที่คุณจะได้รับในแผนฟรี เช่น:

  • เครื่องมือตัดต่อวิดีโอพื้นฐานครบครัน
  • ฟีเจอร์อัดหน้าจอและกล้อง
  • ใช้งาน Text-to-Speech ภาษาไทยและภาษาอื่นๆ (บางเสียง)
  • เข้าถึงคลังสต็อกวิดีโอ, เสียง, รูปภาพ ฟรีบางส่วน
  • ส่งออก (Export) วิดีโอที่ความละเอียดสูงสุด 1080p (Full HD) โดยไม่มีลายน้ำ! (อันนี้ดีมากๆ)

แล้วแผนเสียเงิน (ชื่อแผน Essentials หรือใกล้เคียง อาจมีการเปลี่ยนแปลงชื่อแผน) มีไว้ทำไม? แผนเสียเงินจะเหมาะกับคนที่ต้องการอะไรที่ “เหนือกว่า” ครับ เช่น:

  • เข้าถึงคลังสต็อกวิดีโอ, เสียง, รูปภาพระดับพรีเมียมได้ทั้งหมด (ตัวเลือกเยอะขึ้นมาก)
  • เข้าถึงฟิลเตอร์และเอฟเฟกต์ระดับพรีเมียม
  • ใช้งานฟีเจอร์ Brand Kit (เก็บโลโก้, สี, ฟอนต์ประจำตัวไว้ใช้ซ้ำๆ)
  • สำรองข้อมูลเนื้อหาบนคลาวด์

ลองดูรายละเอียดแผนและราคาล่าสุดได้โดยตรงที่เว็บไซต์ Clipchamp นะครับ เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้: [ลิงก์ไปยังหน้า Pricing ของ Clipchamp (ถ้ามี)] (หมายเหตุ: ณ ปัจจุบัน อาจต้องล็อกอินเพื่อดูรายละเอียดแผนชัดเจน หรือดูข้อมูลจากหน้าหลักประกอบ)

สำหรับคุณครูหรือผู้เริ่มต้น ครูเก่งคิดว่า แผนฟรีก็เหลือเฟือแล้วจริงๆ ครับ ลองใช้แผนฟรีให้คล่องก่อน ถ้าติดใจหรือต้องการฟีเจอร์พรีเมียมจริงๆ ค่อยพิจารณาอัปเกรดก็ได้ครับ

Clipchamp เหมาะกับใครบ้าง?

จากฟีเจอร์และความง่ายในการใช้งาน ครูเก่งคิดว่า Clipchamp เหมาะกับผู้ใช้กลุ่มนี้มากๆ:

  • คุณครู อาจารย์ นักศึกษา บุคลากรทางการศึกษา: สำหรับสร้างสื่อการสอน วิดีโอแนะนำบทเรียน พรีเซนเทชันโครงงาน ง่ายและเร็ว
  • คอนเทนต์ครีเอเตอร์มือใหม่: ที่อยากทำวิดีโอลง YouTube, TikTok, Facebook, Instagram แต่ยังไม่อยากลงทุนกับโปรแกรมแพงๆ หรือเครื่องแรงๆ
  • เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หรือ SME: ที่ต้องการทำวิดีโอโปรโมทสินค้า บริการ หรือสร้างคอนเทนต์ง่ายๆ ด้วยตัวเอง
  • ผู้ใช้งานทั่วไป: ที่อยากตัดต่อวิดีโอท่องเที่ยว งานวันเกิด หรือวิดีโอครอบครัวแบบไม่ซับซ้อน
  • ใครก็ตามที่ไม่เคยตัดต่อวิดีโอมาก่อน: เพราะมันเริ่มต้นได้ง่ายจริงๆ ครับ

เปรียบเทียบ Clipchamp กับโปรแกรมตัดต่อวิดีโออื่นๆ (แบบคร่าวๆ)

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองเทียบกับโปรแกรมยอดนิยมอื่นๆ ที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินชื่อกันนะครับ:

Clipchamp โดดเด่นเรื่องความง่ายในการใช้งานสูงสุด ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม และเป็นมิตรกับผู้เริ่มต้นมากๆ ขณะที่ CapCut (ซึ่งต้องติดตั้งแอปหรือโปรแกรม) อาจจะมีเอฟเฟกต์สำหรับ Social Media ที่หลากหลายกว่าและมีฟีเจอร์ค่อนข้างเยอะในเวอร์ชันฟรี ส่วน Canva Video (ใช้งานบนเว็บได้เช่นกัน) ก็เด่นเรื่องเทมเพลตสวยงามสไตล์งานกราฟิกและใช้งานง่ายมากเช่นกัน ถ้าต้องการงานที่ซับซ้อนมากๆ เช่น งานโปรดักชันใหญ่ที่ต้องใช้เทคนิคขั้นสูง โปรแกรมระดับโปรอย่าง Adobe Premiere Pro หรือ Final Cut Pro ก็ยังคงตอบโจทย์กว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความซับซ้อนในการใช้งานที่มากกว่าและมีค่าใช้จ่ายรายเดือน/รายปีที่สูงกว่าครับ

โดยสรุป Clipchamp อยู่ในตำแหน่งที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องติดตั้ง และใช้งานฟรีได้ดี โดยเฉพาะงานที่ไม่ซับซ้อนมากนัก

ข้อดีและข้อจำกัดของ Clipchamp (มุมมองครูเก่ง)

ข้อดี:

  • ใช้งานง่ายมาก: เหมาะกับทุกเพศทุกวัย ไม่ต้องมีพื้นฐานก็เริ่มได้
  • ไม่ต้องติดตั้ง: สะดวกสุดๆ ใช้ได้ทุกที่ที่มีเน็ตและเบราว์เซอร์
  • แผนฟรีให้เยอะ: Export Full HD 1080p ไม่มีลายน้ำ ฟีเจอร์หลักครบ!
  • ฟีเจอร์เสริมดีงาม: อัดหน้าจอ, Text-to-Speech ภาษาไทย, เทมเพลต ช่วยประหยัดเวลาได้เยอะ
  • เชื่อมต่อ Microsoft Ecosystem: สะดวกถ้าใช้ OneDrive หรือบริการอื่นๆ ของ Microsoft อยู่แล้ว

ข้อจำกัดที่พบ:

  • ฟีเจอร์ขั้นสูงยังมีไม่มาก: ถ้าต้องการเทคนิคตัดต่อซับซ้อนมากๆ เช่น การทำ Motion Tracking, การแก้สีขั้นสูง อาจจะยังไม่ตอบโจทย์เท่าโปรแกรมระดับโปร
  • Text-to-Speech ภาษาไทย: เสียงยังมีให้เลือกน้อย และอาจไม่ธรรมชาติ 100% (แต่ก็ถือว่าดีกว่าไม่มี!)
  • ประสิทธิภาพอาจขึ้นกับอินเทอร์เน็ต/เครื่อง: เพราะทำงานบนเว็บ ถ้าเน็ตช้าหรือคอมฯ เก่ามากๆ อาจมีหน่วงบ้างเล็กน้อย (แต่โดยรวมถือว่าทำงานได้ลื่นไหลดี)
  • คลังสต็อกฟรีมีจำกัด: ถ้าอยากได้ตัวเลือกรูปภาพ วิดีโอ เสียง เยอะๆ อาจต้องอัปเกรดหรือหาจากแหล่งอื่นมาเสริม

สรุป: Clipchamp คุ้มค่า น่าลองใช้ไหม?

ตอบเลยว่า คุ้มค่าและน่าลองมากๆ ครับ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณครู หรือเพื่อนๆ กำลังมองหา โปรแกรมตัดต่อวิดีโอฟรี ที่ ใช้งานง่าย ไม่ต้องปวดหัวกับการติดตั้งหรือเรียนรู้โปรแกรมซับซ้อน Clipchamp จาก Microsoft คือคำตอบที่ใช่เลย

มันอาจจะไม่ได้มีฟีเจอร์ระดับเทพเท่าโปรแกรมตัดต่อราคาแพง แต่สำหรับงานสร้างสื่อการสอน, วิดีโอคอนเทนต์ทั่วไป, หรืองานพรีเซนเทชัน Clipchamp มีเครื่องมือให้ครบครันเกินพอ และช่วยให้คุณสร้างสรรค์ผลงานวิดีโอคุณภาพดีออกมาได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยากแน่นอนครับ

Scroll to Top